Thursday, December 6, 2007

บริหารใจ... กับ ภารกิจ ก่อร่างสร้างบุญ

โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์

GooddeedProject.com is a charitable work done by a network of executives
and those who want to provide paths to education and true happiness
for people less fortunate than ourselves.
www.gooddeedproject.com
Initiated & Powered by Dr. Anchalee Gibbins, Inspired by Pra Dr. Saneh Dhammavaro


Want to be a part of the Good Deed Project
through volunteer work or donation.

Please contact directly at
agconnection@gmail.com


The Meditation Hill Project






สนใจร่วมภารกิจบริหารใจ ก่อร่างสร้างบุญ สะพายย่าม ตามรอยธรรม
กับ ดร. อัญชลี กิ๊บบิ้นส์
อีเมล์ agconnection@gmail.com

อีกภารกิจสำคัญ ก่อร่างสร้าง สำนักปฏิบัติธรรม ณ ม่อนม่วนใจ๋ วัดฟ้าเวียงอินทร์
ต.เปียงหลวง อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่

ร่วมสมทบทุนสร้าง สำนักปฏิบัติธรรม ณ ม่อนม่วนใจ๋ วัดฟ้าเวียงอินทร์
ชื่อบัญชี กองทุนการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ธนาคาร กรุงไทย สาขา ถนนสุเทพ
เลขที่บัญชี 521 - 0 - 03130 - 6

To join this Good Deed Project especially building the Meditation Hill
Project you can kindly help to donate by transferring fund into the
Foundation's bank account as shown below.

After you have transferred, please kindly email me the details of the
amount, date of fund transferred and your full name in print for
income tax deduction.

Account name: กองทุนการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนา
(Fund for education and propagating the Buddhism)
Bank: Krung Thai Bank Branch: Suthep Road
Bank account: 521 - 0 - 03130 - 6 (saving account)



เที่ยวทางบุญ Voluntourism Project กับ ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์

หนึ่งในภารกิจเพื่อสนับสนุนพุทธศาสนาและพัฒนาการศึกษาและคุณภาพของเด็กด้อยโอกาส ภายใต้การนำร่องของ พระปลัด ดร.เสน่ห์ ธมมวโร มูลนิธิการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มจร.วิทยาเขต เชียงใหม่





Monday, December 3, 2007

บริหารใจ...ภารกิจก่อร่างสร้างบุญ (ประมวลภาพ 3)

โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์






สนใจร่วมภารกิจบริหารใจ ก่อร่างสร้างบุญ สะพายย่าม ตามรอยธรรม
กับ ดร. อัญชลี กิ๊บบิ้นส์

อีเมล์ agconnection@gmail.com

หนึ่งในภารกิจเพื่อสนับสนุนพุทธศาสนาและพัฒนาการศึกษาและคุณภาพของเด็กด้อยโอกาส
ภายใต้การนำร่องของ พระปลัด ดร.เสน่ห์ ธมมวโร มูลนิธิการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มจร.วิทยาเขต เชียงใหม่

บริหารใจ...ภารกิจก่อร่างสร้างบุญ (ประมวลภาพ 2)

โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์







สนใจร่วมภารกิจบริหารใจ ก่อร่างสร้างบุญ สะพายย่าม ตามรอยธรรม
กับ ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์

อีเมล์ agconnection@gmail.com

หนึ่งในภารกิจเพื่อสนับสนุนพุทธศาสนาและพัฒนาการศึกษาและคุณภาพของเด็กด้อยโอกาส
ภายใต้การนำร่องของ พระปลัด ดร.เสน่ห์ ธมมวโร มูลนิธิการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มจร.วิทยาเขต เชียงใหม่

บริหารใจ... ภารกิจ ก่อร่างสร้างบุญ (ประมวลภาพ 1)

โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์







สนใจร่วมภารกิจบริหารใจ ก่อร่างสร้างบุญ สะพายย่าม ตามรอยธรรม
กับ ดร. อัญชลี กิ๊บบิ้นส์

อีเมล์ agconnection@gmail.com

หนึ่งในภารกิจเพื่อสนับสนุนพุทธศาสนาและพัฒนาการศึกษาและคุณภาพของเด็กด้อยโอกาส
ภายใต้การนำร่องของ พระปลัด ดร.เสน่ห์ ธมมวโร มูลนิธิการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มจร.วิทยาเขต เชียงใหม่

Sunday, December 2, 2007

บริหารใจ...ภารกิจก่อร่างสร้างบุญ สู่บ้านหลักแต่ง


โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์
ฟ้าใส ป่าเขียว ทางคด ลดเลี้ยว
เส้นทางเที่ยว ทางบุญ หนุนชีวิต
แดดป่า ส่องทอด ยอดหญ้า
ขุนผา บังเงา เป็นร่ม
เสียงธรรม พระนำ ฟังสดับ
ตำนานลับ เร้นซ่อน สะท้อนจริง

กว่าพันคด ลดเลี้ยว เหมือนเคียวข้าว
พลขับเรา เขาก็สดับ ตรับฟังธรรม
ช่างลึกล้ำ จริงหนอ พ่อประคุณ
ไม่แค่หมุน รถล้อ พาเราเลื่อน
แต่หมุนเคลื่อน ล้อธรรม นำกุศล

ดอกบัวตอง ทองอร่าม ล่ามทางเขา
สะท้อนเงา ตะวันบ่าย คล้ายผ้าเหลือง
เป็นผืนแผ่ แลลัด ไม่ขัดเคือง
ให้จิตเปลื้อง เรื่องทุกข์ สุขอุรา


สนใจร่วมภารกิจบริหารใจ ก่อร่างสร้างบุญ สะพายย่าม ตามรอยธรรม
กับ ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์

อีเมล์ agconnection@gmail.com

หนึ่งในภารกิจเพื่อสนับสนุนพุทธศาสนาและพัฒนาการศึกษาและคุณภาพของเด็กด้อยโอกาส
ภายใต้การนำร่องของ พระปลัด ดร.เสน่ห์ ธมมวโร มูลนิธิการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง มจร.วิทยาเขต เชียงใหม่

Sunday, November 18, 2007

บริหารใจ "เมตตาหมา…ให้คนนิยม"

ดร. อัญชลี กิ๊บบิ้นส์



เราเห็นคนสมัยนี้นิยมเลี้ยงสุนัขกันเยอะ นึกอิ่มใจแทนสุนัขที่มีโอกาสได้รับความเมตตาจากคนรักสัตว์
เห็นบางตัวที่ได้รับการดูแลปรนเปรอประคบประหงม แต่งองค์ทรงเครื่องให้จนได้ไปโลดแล่นบนแคทวอร์ค
เล่นเอาเราต้องข่มใจไม่ให้เกิดจิตริษยาเป็นพักใหญ่ สุนัขเหล่านี้ชะตาดีจริงๆ

เรารู้สึกดีทุกครั้งที่เห็นคนเกือบจะทุกวัย ได้ใช้ช่วงเวลาอย่างมีคุณภาพ หยอกเอินเล่นหัวกับสุนัขตัวโปรด ปั่นจักรยานแข่งกับฝีเท้าสุนัข พาสุนัขเดินออกกำลัง ไม่ใช่แต่เจ้าสุนัขที่ได้ออกกำลังจนกล้ามงาม คนเลี้ยงก็พลอยได้ประโยชน์ไปด้วย
และดูเหมิอนคนเลี้ยงก็มักจะมีอารมณ์ดี เป็นคนอ่อนโยน ดูจะมีความสุขทีเดียว เราเองก็มักแอบนิยมเจ้าของอยู่ไม่น้อย

แต่ทว่า สิ่งหนึ่งที่เรามักเห็นเช่นกันก็คือ กองทุกข์ที่สุนัขมักปล่อยไว้ ไม่ว่าจะด้วยความตั้งใจของเจ้าของ
หรือ ความซนของเจ้าสุนัขเองที่ไม่รู้จักหาที่ปล่อยทุกข์เป็นที่เป็นทาง ที่จะไม่ทำให้ความสุขของเพื่อนบ้านหายไป
มันกลายเป็นเรื่องมหานิยมไปซะแล้ว

ยิ่งทำให้เราเอะใจทุกครั้งว่า ทำไมคนเราเกิดความคิดมีเมตตาเลี้ยงดูสัตว์ได้ แต่ทำไมเราไม่มีจิตคิดเมตตาหรืออาทรเพื่อนบ้านบ้าง

บางเจ้าของมักแสร้งพาสุนัขออกมาเดินกลางเมือง กลางหมู่บ้าน กลางถนน กลางสนามพักผ่อนหย่อนใจ ให้ไกลเขตรั้วบ้านตัวเอง
แล้วปล่อยให้สุนัขตัวโปรดปลดเบาปล่อยทุกข์กองไว้อย่างไม่รู้สึกอะไร ไม่คิดว่าถ้าเพื่อนบ้านเปิดประตูรั้วออกมา
หรือรถแล่นทับกองทุกข์ ติดเปรอะตามไปทั่ว แล้วเพื่อนบ้านอีกกี่คนจะมีสุขได้สักแค่ไหน

สุนัขที่มีเจ้าของที่กำลังสร้างความสุขให้คุณ แต่กำลังก่อทุกข์สร้างกลิ่นไม่พึงปรารถนาให้คนอื่น แล้วเราจะมีคนนิยมไหมเนี่ย
หรือกลับเป็นการลบมิตรก่อศัตรูริมรั้วบ้านเอาซะงั้น บางเจ้าของยิ่งหนัก ปกติก็จะไม่ให้สุนัขตัวเองออกไปวิ่งเพ่นพล่าน
เพราะกลัวมันจะโดนรถเฉี่ยวชน(ด้วยความเมตตา) แต่พอรู้ว่าถึงเวลาที่มันจะถ่ายทุกข์ ก็เปิดรั้วแง้มไว้
ชี้ช่องปล่อยให้เจ้าสุนัขวิ่งออกไปพ้นรั้ว ซักพักใหญ่ค่อยตะโกนโหวกเหวกเรียกหาด้วยสำเนียงเสียงเอื้ออาทร
ออกอาการเป็นห่วงเป็นใยไม่น้อยว่า เจ้าด่างเราไซร้หายไปไหนกันนะ

ถึงตรงนี้ก็อยากจะดึงให้เข้าประเด็น คือประเด็นเรื่องการจะสร้างให้ตัวเองมีความสุข
ก็คงต้องนึกถึงว่าเรากำลังสร้างทุกข์ให้คนอื่นหรือไม่
ไม่ต่างอะไรกับสังคมในปัจจุบันที่คนเราทุกวันนี้
ดูเหมือนจะแสวงหาแต่ความสุขใส่ตัวเอง ไม่มีแม้จะแบ่งใจตัวเองสักนิด แล้วคิดถึงว่าจะสร้างสุข
หรือไม่ก่อทุกข์ให้คนอื่นรอบตัวเราได้อย่างไร

เราเชื่อว่า การสร้างความสุขที่ไม่สร้างศึกอย่างแท้จริง มันน่าจะต้องคำนึงถึงสองทาง เป็นสัญญาณเตือนตัวเอง
ก่อนจะเริ่มคิดหาความสุข คือ หนึ่ง ความสุขที่หาใส่ตัวเรา มันจะไม่ก่อทุกข์ให้คนอื่น หรืออีกทางหนึ่งคือ
คิดที่จะสร้างสุขให้กับทั้งตัวเราและคนอื่นในเวลาเดียวกัน
เลือกซักทางได้ก็คงดี

"เริ่มต้นที่ เมตตาหมา...ให้คนนิยมได้ เมตตามหานิยมต้องตามมาแน่ "

Sunday, October 14, 2007

บริหารใจ…ชั่วโมงสั้นชั่วโมงยาว

ดร. อัญชลี กิ๊บบิ้นส์



"ทำไมวันนี้มันนานจัง กว่าจะหมดไปชั่วโมงๆหนึ่งช้ากว่าเมื่อวาน เมื่อวานหมดไปเร็วเหลือเกิน"
น่าคิดนะ ใจเรานี่ ไหวปลิวเร็วยิ่งกว่าใบไผ่ล้อลมแรงแรง
ความรู้สึกนึกคิดของคนเรานี่ น่าหวาดกลัวจริงๆ ปรับเปลี่ยน ปรุงแต่งแม้กับความเป็นจริง
แม้กระทั่งปรุงแต่งความสั้นยาวของเวลา ขึ้นมาหลอกใจ หลอกกายเราเองได้

ถ้าเผลอใจ ลืมนึกถึงความเป็นจริงเมื่อไหร่ นอกจากเราจะหลุดปากพูดพร่ำบ่น เรื่อยเปื่อย เรายังอาจลืมตัวสร้างอารมณ์กระดี๊กระด๊า หรือ ว้าวุ่น วิตกกังวลอย่างขาดเหตุขาดผล

ถ้าลองมีสติตามทันความรู้สึกหรือเตือนตัวเองอยู่ทุกขณะ แล้วมองดูเข็มนาฬิกาอย่างเข้าใจถึงแก่นแท้ความจริงที่ว่า ชั่วโมงแต่ละชั่วโมงมันสั้นยาวเท่ากันทุกเมื่อเชื่อวัน เราก็คงลดวิตก ลดกังวล ลดความเปรมปรีดิ์แบบลืมทุกข์จนเกินเหตุได้ไม่ยาก

Tuesday, September 4, 2007

บริหารใจ...ทำกำไรให้ชีวิต

โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์



เป้าหมายของคนที่บริหารธุรกิจ คือทำกำไรให้บริษัท ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับคนที่บริหารใจ เพราะถ้าชีวิตเราหากำไรไม่ได้ก็คงขาดแรงบันดาลใจ และแรงกระตุ้นที่จะมุ่งมั่นบริหารใจต่อไป ไม่ต่างอะไรกับนักบริหารธุรกิจที่ขาดทุน อย่างชนิดที่ตั้งหลักปักเสากันลำบาก

กำไรหรือขาดทุนจากการบริหารใจเริ่มขึ้นตรงนี้ เรื่องของเรื่องก็คือว่า ทำไมคนบางคนถึงทำอะไรในหนึ่งวันได้มากกว่าคนอีกหลายคน และคนอีกหลายคนนั้นก็มักจะบอกว่า “ไม่มีเวลา” ถ้ามองให้ชัด ไม่มีใครไม่มีเวลาเลย จะมีก็แต่ว่า ไม่มีความอยากหรือความมุ่งมั่นซะมากกว่า ความหมายแท้แท้ของคำว่า “ไม่มีเวลา” ของหลายชีวิตนั้น แท้จริงคือ “ไม่มีความอยาก ไม่มีความมุ่งมั่น” ความอยากในที่นี้หมายความอย่างที่ฝรั่งเขาเรียกว่า Passion

ความอยากมันอยู่ที่ ใจมันอยากจะทำ อยากจะทำให้ลุล่วงสำเร็จ โดยไม่รั้งรอ ในวันหนึ่งๆเรามี 24 ชั่วโมงเท่ากัน อยู่แต่ว่าเราเอาใจไปใส่ไว้กับอะไรในแต่ละขณะวันนั้นๆ ชีวิตมันขาดทุนลงทุกนาที แค่ตื่นขึ้นมา ชีวิตก็สั้นลงไปอีกหนึ่งวันแล้ว หากชีวิตได้มีอะไรใหม่ๆเติมเข้าไปบ้าง เติมอะไรก็ได้ แต่ขอให้อยู่บนสองเสาหลักที่นักบริหารใจต้องมี คือ หนึ่ง สิ่งที่เติมเข้ามาช่วยพัฒนาตัวเอง กับสอง สิ่งที่เติมเข้ามาช่วยเราได้พัฒนาคนอื่น ถ้าอะไรก็ตามที่คุณเลือกจะเติมให้กับชีวิตคุณอยู่บนสองเสาหลักนี้ ชีวิตนี้ก็มีแต่กำไร

Friday, July 27, 2007

บริหารใจ...ไม่ให้กายเหนื่อย

โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์



สมัยนี้คนเรามักเลือกที่จะใช้เครื่องทุ่นแรงเพื่อเอาชนะความยากลำบาก ทั้งที่จริงๆแล้ว ความลำบากทางกายหลายๆอย่าง เอาชนะได้ด้วยใจเราเอง เห็นได้ง่ายๆอย่างเช่น เวลาเดินขึ้นดอย บางคนบ่นแล้วบ่นอีก บ่นเป็นชุด เมื่อยมาก ไม่ไหวแล้ว ขาจะหลุด หายใจไม่ทัน เมื่อไหร่จะถึง บันไดมีกี่ขั้นเนี่ย ต้องเดินขึ้นอีกนานเท่าไหร่ ที่เห็นจนสุดเนี่ยยังมีต่ออีกหรือเปล่า รู้อย่างนี้ขึ้นลิฟต์ดีกว่า

ไอ้ที่เราบ่นเนี่ย ล้วนแล้วแต่เป็นการเอาใจไปจับไว้กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ไปพะวงแต่ว่าจะยังอีกสูง อีกไกล กว่าจะถึง แถมเอาใจไปเข้าข้างขาสองข้างอีกว่า เมื่อยนิดเมื่อยหน่อยไม่ไหวแล้ว ใช้งานหนักไปนิด ก็เกิดจิตท้อถอย บางทีไม่เข้าข้างขาตัวเองอย่างเดียว แถมไปประณามขั้นบันได ว่า..สร้างมาทรมานขา พอเราเริ่มเดินขึ้นดอยอย่างมีสติ เอาใจไปกำหนดไว้ที่ทุกย่างก้าวซะอย่างเดียว ขวายก ขวาย่าง ขวาวาง ซ้ายยก ซ้ายย่าง ซ้ายวาง ลองดูง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง เมื่อเราตัดกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ตัดพะวงที่ว่าเราจะไปไม่ไหว มันกลับขึ้นถึงยอดดอยโดยไม่รู้สึกเหนื่อย แถมรู้สึกว่า เร็วจัง ถึงยอดแล้ว กำลังเพลินอยู่ทีเดียว

ยิ่งคิดยิ่งพะวงก็ยิ่งเหนื่อยหนัก มากกว่าที่มันควรจะเป็นด้วยซ้ำ มันบั่นทอนให้พลังเราน้อยลง ไม่ต่างอะไรกับหลายๆชีวิตในสังคมปัจจุบัน ถ้าได้แต่ใช้เวลาไปกับความทดท้อ พร่ำบ่น มัวแต่พะวงว่า ทำไมไม่ก้าวหน้าซักทีอาชีพนี้ ทำมาเหนื่อยยากไม่รู้จะกี่ปีแล้ว เงินเดือนขึ้นไม่ถึงที่หวังซักที ชาตินี้เมื่อไหร่จะรวย ได้แต่หวังและตัดพ้อกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง บางรายร้ายหนัก ถึงกับโทษคนโน้นคนนี้ว่าทำให้ตัวเขาต้องทดท้อหมดแรงสู้ โดยที่ไม่ได้จดจ่อว่าตัวเราเองกำลังทำอะไร ทำอย่างมีความสุขหรือไม่และทุ่มเทด้วยพลังและปัญญาทุกขณะหรือเปล่า

ลองเริ่มใหม่ค่อยๆตัดความกังวลที่ว่าเมื่อไหร่จะไปถึงยอดถึงที่หมายซักที ทำปัจจุบันให้เต็มที่อย่างมีสติ เวลาที่คุณขึ้นถึงยอดจริงๆ ก้าวขึ้นถึงตำแหน่งสูงๆในบริษัท ด้วยวิธีนี้ คุณจะรักตัวเองมากขึ้น และคุณจะเป็นคนที่ไม่มีอคติกับอุปสรรคใดๆในชีวิตอีกเลย

Tuesday, June 12, 2007

บริหารใจ…ด้วยไดอารี่บันทึกอารมณ์

โดย ดร. อัญชลี กิ๊บบิ้นส์



มื้อกลางวันของคนทำงานในปัจจุบัน มีไม่น้อยทีเดียวที่กลายเป็น “มื้อลดบุญ” โดยที่เราไม่รู้ตัว นั่งประณามลูกน้องบ้าง นินทาเจ้านายบ้าง หรือไม่ก็ว่าร้ายเพื่อนร่วมงาน น้อยกลุ่มนักที่จะนั่งมองตัวเองว่า ครึ่งเช้าที่ผ่านมา เราโกรธ เราโมโห เราเกรี้ยวกราด เพราะอะไร เรายินดี เราแบ่งปันอะไรกับใครที่เกี่ยวข้องในชีวิตช่วงเช้าเราบ้างไหม เราจะคุมสติให้ชีวิตครึ่งบ่ายผ่านไปได้อย่างไร โดยที่ใจเราเองมีสุข และไม่ต้องทำให้ผู้อื่นได้ทุกข์ใจ และไม่ต้องเอาเรื่องน่าเบื่อหูจากที่ทำงานกลับไปบ่นต่อที่บ้าน หรือแปลงสัญญาณเป็นความหงุดหงิดแล้วระบายกับลูกๆที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไร

ถ้าจะเปรียบไป อาการนี้เหมือนกับว่า เรามองไม่เห็นตัวเอง เราละเลยที่จะมองเข้าไปถึงในใจ ในอารมณ์เราเอง พอเรามองไม่เห็นตัวเอง เราก็จะเห็นแก่ใครไม่ได้ นอกจากเห็นแก่ตัว

การมองไม่เห็นตัวเอง สังเกตได้ง่ายๆ ก็คือ ไม่รู้ตัวว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กำลังปฎิบัติอย่างไรต่อใคร หรือรู้ว่าคิดอะไรอยู่แต่ไม่สามารถควบคุมความคิดของตัวเองได้ ปล่อยให้ใจมันคิดต่อไปอย่างเตลิดเปิดเปิง มองแต่ว่า คนอื่นคือต้นตอของปัญหา คนนั้น คนโน้น สร้างปัญหา

จริงๆแล้ว ก็ไม่ได้กำลังจะบอกว่าให้หันมาโทษตัวเองว่าเป็นปัญหา แต่อยากจะให้หันมาฝึกตัวเองแทน ฝึกตัวเองในที่นี้คือ ฝึกใจตัวเอง ซึ่งฝึกยาก เพราะใจเรา ใช้ระบบปฏิบัติการแบบดิจิตอล ชนิดที่ปฏิบัติการแต่ละแว๊บรวดเร็วขนาดที่แทบจะเหนือกว่าความไวแสง

เรื่องนี้พิสูจน์ได้...
แค่ลองเฝ้ามองตัวเองซักห้านาที ลองย้ายใจไปไว้ที่ปลายจมูกแล้วตามนับให้ตลอดได้ไหมว่า สายลมหายใจเข้าออกของเราสัมผัสปลายจมูกเราเองกี่คู่แล้ว โดยที่เราไม่เปิดช่องว่างให้ใจเราไปยุ่งกับเรื่องอื่น ออกจะยากสำหรับบางคน

ถ้าจะฝึกแบบง่ายๆและได้ผลดีไม่น้อย ก็ต้องนี่เลย ทำไดอารี่บันทึกอารมณ์ เอากระดาษมาแผ่นหนึ่ง แล้วทำเครื่องหมายบวกอันใหญ่ไว้กึ่งกลางหน้า เพื่อจะแบ่งช่องให้ได้สี่ช่องบนแผ่นกระดาษ ช่องบนด้านซ้าย เอาไว้บันทึกเรื่องราวที่มากระทบและเป็นเหตุให้เราอารมณ์ดีช่วงเช้า ช่องบนขวาเอาไว้บันทึกเหตุแห่งอารมณ์ไม่ดีช่วงเช้า ส่วนช่องล่างซ้ายก็เอาไว้บันทึกอารมณ์ดีดีของช่วงบ่าย บันทึกด้วยว่าอะไรคือสาเหตุที่จุดอารมณ์ดีให้ตัวคุณ อีกช่องที่เหลือช่องล่างด้านขวา ก็เป็นที่ว่างไว้บันทึกเรื่องราวของอารมณ์ไม่ดีที่เข้ามากระทบช่วงบ่ายของตัวเอง ลองตามอารมณ์ให้เจอ แล้วสำรวจสาเหตุ ก่อนที่เราจะวิ่งไปหาใครให้มาเข้าข้างเรา หรือปล่อยอารมณ์เตลิดเปิดเปิงจนใจไม่สงบ แล้วเอากลับมาพิจารณา ต่อยอดช่องดี ให้ได้ดีมากขึ้น ละลดเหตุและวางเรื่องที่ก่ออารมณ์ไม่ดี อ่านบันทึกนี้ก่อนนอนทุกวัน ตามอารมณ์เราให้เจอ เราจะรู้ว่า อะไรทำให้เราทุกข์ อะไรทำให้เราสุข เราจะบริหารใจเราอย่างไรที่จะละ วาง ให้ความทุกข์ หรืออารมณ์ที่บั่นทอนใจสบายของเราลงไปได้

ชีวิตที่พัฒนาได้คือ ชีวิตที่เรียนรู้ตลอดเวลาจากความผิดพลาด ตามอารมณ์ให้เจอ แล้วพิจารณาอารมณ์อย่างมีสติ อย่างน้อยพรุ่งนี้ก็ต้องสุขมากกว่าวันนี้

บริหารใจ...แบบประกันความสุข

โดย ดร. อัญชลี กิ๊บบิ้นส์



เคยถามตัวเองบ้างไหมคะว่า สวดมนต์ไปทำไม ทำไมต้องสวดมนต์ พอยิ่งได้มีโอกาสไปได้ยินเสียงสวด “พุธธัง สรณัง คัจฉามิ....” รอบแล้วรอบเล่าที่เปิดเป็น ambiance music ที่สนามบินเมืองพุทธคยา ประเทศอินเดีย ยิ่งทำให้เราต้องค้นหามากขึ้นว่าทำไม

หลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันของชาวพุทธ ไขข้อข้องใจเราได้อย่างสนิท สามสิ่งที่เราควรกระทำในแต่ละวันของชีวิตคือ หนึ่ง รักษาศีล สอง สวดมนต์ สาม ปฏิบัติธรรมฝึกสมาธิ การที่เราได้ปฏิบัติกันอย่างครบถ้วนทั้งสามวิธีในแต่ละวันอย่างสม่ำเสมอ ทำให้เราเข้าถึงความสุขได้ง่ายขึ้น ได้ชื่อว่าทำบุญกันทุกวัน รับบุญกันไปเต็มๆ แถมเป็นวิธีที่ทำให้เราทำชั่วไม่ขึ้น

วิธีแรกนับเป็นแกนหลัก และเป็นแกนสำคัญที่จะทำให้เราปฏิบัติอีกสองวิธีที่ตามมาได้ง่ายขึ้น เรียกได้ว่า ไม่มีวิธีแรกคือ รักษาศีล สวดมนต์ไปก็ไม่ได้ให้พลังอะไร เพราะเราไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า แล้วเราไปสวดมนต์ระลึกถึงคุณคำสอนของท่าน สวดไปอย่างไร้ความหมาย ขาดพลัง ขาดความจริงใจว่างั้นก็ได้ แล้วก็ยังผลต่อให้เราฝึกสมาธิอย่างสงบใจไปเสียไม่ได้

เดี๋ยวนี้ได้ยินการตีความที่มาของศีลห้าอย่างน่าสนใจไม่น้อย ไม่ใช่แต่ว่า อย่าฆ่าสัตว์ มันบาป อย่าโกหก มันบาป อย่าลักขโมย มันบาป เรารู้จักแต่ว่าทำแล้วบาป แต่พอได้ฟังการตีความอย่างเป็นเหตุเป็นผล และเห็นภาพได้มากขึ้น จากพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ก็รู้สึกว่าวันนี้เราถือศีลห้าอย่างนักปราชญ์ ศีลห้าเป็นเสมือนแผนประกันความสุข ที่ไม่ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกัน แต่รับปันผลเป็นตัวบุญเต็มๆ เริ่มจากศีลข้อแรก ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ห้ามทำร้าย รังแกทารุณสิ่งมีชีวิตให้ลำบากเดือดร้อน ข้อนี้ท่านว่า คือหลักประกันชีวิต รับรองไม่มีใครต้องถูกปองร้าย ไม่ต้องระแวดระวัง พัฒนาขีปนาวุธกันยกใหญ่ จะมีก็แต่ว่า ชีวิตล่วงไปตามธรรมดาโลก เกิด แก่ เจ็บ ตาย ศีลข้อที่สอง ห้ามพูดปด หรือพูดเสียดสี หยาบคาย ข้อนี้คือหลักประกันสังคม หลายเหตุการณ์ที่เกิดเป็นปัญหาสังคมก็ล้วนแต่เกิดมาจากความไม่ซื่อตรงการหลอกลวงในเชิงธุรกิจ การเหยียดหยามหรือพูดจาโจมตีซึ่งกันและกัน จนเกิดเป็นปัญหาสังคมเหมือนที่เห็นเป็นข่าวอยู่ทุกวัน ข้อที่สาม ห้ามลักทรัพย์หรือถือเอาทรัพย์คนอื่นมาเป็นทรัพย์เราโดยที่เขาไม่อนุญาต ข้อนี้คือหลักประกันทรัพย์สิน ของเราก็ไม่หาย ของเขาก็อยู่กับเขา ถ้าแต่ละคนปฏิบัติตามข้อห้ามนี้ได้ ไม่ต้องล็อครั้ว ไม่ต้องมัวแต่พะวงจนนอนไม่หลับ ข้อที่สี่ห้ามประพฤติผิดในกาม เว้นขาดจากการแย่งชิงของรักของหวงของผู้อื่น ข้อนี้คือ หลักประกันครอบครัว ปัญหาครอบครัวที่เราเห็นกันในปัจจุบัน ก็เกิดจากการแหกกฎข้อนี้นั่นเอง ไม่สำนึกรับผิดชอบต่อคนรักและครอบครัวของตนเอง และข้อสุดท้ายห้ามดื่มสุราหรือเสพของมึนเมาและเกี่ยวข้องจนติดอบายมุข ข้อนี้คือหลักประกันสุขภาพ

เราเห็นกันเยอะ เดี๋ยวนี้ชีวิตเราสมบูรณ์น้อยลงทุกวัน ความสุขเหลือน้อยเต็มที ชีวิตที่มันน่าจะเบิกบานและเรียบง่าย กลายเป็นชีวิตที่มากไปด้วยความซับซ้อน เต็มกังวล ลองเริ่มตั้งหลักทำดีแบบครบวงจรทั้งห้าในแต่ละวัน เพื่อ ชีวิต ทรัพย์สิน สังคม ครอบครัว คนรัก และสุขภาพ ไม่ให้องค์ประกอบใกล้ตัวอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ต้องสั่นคลอน ความสุขก็มีได้ในทุกวัน