Friday, July 27, 2007

บริหารใจ...ไม่ให้กายเหนื่อย

โดย ดร.อัญชลี กิ๊บบิ้นส์



สมัยนี้คนเรามักเลือกที่จะใช้เครื่องทุ่นแรงเพื่อเอาชนะความยากลำบาก ทั้งที่จริงๆแล้ว ความลำบากทางกายหลายๆอย่าง เอาชนะได้ด้วยใจเราเอง เห็นได้ง่ายๆอย่างเช่น เวลาเดินขึ้นดอย บางคนบ่นแล้วบ่นอีก บ่นเป็นชุด เมื่อยมาก ไม่ไหวแล้ว ขาจะหลุด หายใจไม่ทัน เมื่อไหร่จะถึง บันไดมีกี่ขั้นเนี่ย ต้องเดินขึ้นอีกนานเท่าไหร่ ที่เห็นจนสุดเนี่ยยังมีต่ออีกหรือเปล่า รู้อย่างนี้ขึ้นลิฟต์ดีกว่า

ไอ้ที่เราบ่นเนี่ย ล้วนแล้วแต่เป็นการเอาใจไปจับไว้กับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ไปพะวงแต่ว่าจะยังอีกสูง อีกไกล กว่าจะถึง แถมเอาใจไปเข้าข้างขาสองข้างอีกว่า เมื่อยนิดเมื่อยหน่อยไม่ไหวแล้ว ใช้งานหนักไปนิด ก็เกิดจิตท้อถอย บางทีไม่เข้าข้างขาตัวเองอย่างเดียว แถมไปประณามขั้นบันได ว่า..สร้างมาทรมานขา พอเราเริ่มเดินขึ้นดอยอย่างมีสติ เอาใจไปกำหนดไว้ที่ทุกย่างก้าวซะอย่างเดียว ขวายก ขวาย่าง ขวาวาง ซ้ายยก ซ้ายย่าง ซ้ายวาง ลองดูง่ายๆ ด้วยตัวคุณเอง เมื่อเราตัดกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ตัดพะวงที่ว่าเราจะไปไม่ไหว มันกลับขึ้นถึงยอดดอยโดยไม่รู้สึกเหนื่อย แถมรู้สึกว่า เร็วจัง ถึงยอดแล้ว กำลังเพลินอยู่ทีเดียว

ยิ่งคิดยิ่งพะวงก็ยิ่งเหนื่อยหนัก มากกว่าที่มันควรจะเป็นด้วยซ้ำ มันบั่นทอนให้พลังเราน้อยลง ไม่ต่างอะไรกับหลายๆชีวิตในสังคมปัจจุบัน ถ้าได้แต่ใช้เวลาไปกับความทดท้อ พร่ำบ่น มัวแต่พะวงว่า ทำไมไม่ก้าวหน้าซักทีอาชีพนี้ ทำมาเหนื่อยยากไม่รู้จะกี่ปีแล้ว เงินเดือนขึ้นไม่ถึงที่หวังซักที ชาตินี้เมื่อไหร่จะรวย ได้แต่หวังและตัดพ้อกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง บางรายร้ายหนัก ถึงกับโทษคนโน้นคนนี้ว่าทำให้ตัวเขาต้องทดท้อหมดแรงสู้ โดยที่ไม่ได้จดจ่อว่าตัวเราเองกำลังทำอะไร ทำอย่างมีความสุขหรือไม่และทุ่มเทด้วยพลังและปัญญาทุกขณะหรือเปล่า

ลองเริ่มใหม่ค่อยๆตัดความกังวลที่ว่าเมื่อไหร่จะไปถึงยอดถึงที่หมายซักที ทำปัจจุบันให้เต็มที่อย่างมีสติ เวลาที่คุณขึ้นถึงยอดจริงๆ ก้าวขึ้นถึงตำแหน่งสูงๆในบริษัท ด้วยวิธีนี้ คุณจะรักตัวเองมากขึ้น และคุณจะเป็นคนที่ไม่มีอคติกับอุปสรรคใดๆในชีวิตอีกเลย